วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11217 มติชนรายวัน
ย้อนหลังกลับไปเกือบ 1 ปี ในวันที่ 31 ธันวาคม 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานพรปีใหม่แก่ปวงชนชาวไทย ทรงเตือนสติให้คนไทยสามัคคี ทำหน้าที่ของตนให้ดี ช่วยกันประคับประคองบ้านเมืองให้เป็นไปด้วยดีและเป็นปึกแผ่น ร่มเย็นเป็นสุข ไม่คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ผ่อนปรนเข้าหากันและอย่าก่อปัญหา สร้างเงื่อนไขที่จะสร้างความไม่สงบ แตกแยกในบ้านเมือง
นับจากต้นปีใหม่ 2551 มาถึงวันนี้ใกล้ครบปี จวนจะถึงวันขึ้นปีใหม่ 2552 สถานการณ์บ้านเมืองกลับมีความขัดแย้ง แตกแยกในหมู่คนไทยมากขึ้น ต่างไปจากปี 2550 ประเทศอยู่ในช่วงการรัฐประหาร เพิ่งจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 ความขัดแย้ง แตกแยกยังมีไม่เท่าไร
ถอยหลังกลับไปในช่วงต้นปี 2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้น ยังไม่เกิดการรัฐประหาร แต่มีปัญหาขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นแล้ว การจัดการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 ภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณยุบสภา มีข้อขัดข้องและความปั่นป่วนวุ่นวายอันเนื่องมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ชาติไทยและมหาชนไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง คนในพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กลงแข่งขัน กกต.เปลี่ยนคูหาเลือกตั้ง ฯลฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสแก่ผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม ณ วังไกลกังวล หัวหิน วันที่ 25 เมษายน 2549 ตอนหนึ่งว่า "เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่วิกฤตที่สุดในโลก"
เมื่อมาดูสถานการณ์ ณ เวลานี้ น่าจะกล่าวได้ว่าหนักหนาสาหัสเกินเลย "วิกฤตที่สุดในโลก" ไปมากแล้ว โอกาสจะเกิดสงครามการเมือง เกิดการนองเลือด เกิดมิคสัญญีกลียุคย่อมเป็นไปได้หากผู้เกี่ยวข้องอันได้แก่ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและฝ่ายที่เป็นคู่กรณีของความขัดแย้งแตกแยก นั่นคือรัฐบาลพรรคพลังประชาชนกับพันธมิตรโดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแนวร่วมไม่รู้จักลดราวาศอก ต่างหนึ่งต้องการเอาชนะ อีกฝ่ายหนึ่งดิ้นรนเพื่อให้รอดจากการเป็นผู้ถูกกระทำโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดกับชีวิตของผู้คนและความย่อยยับของชาติบ้านเมือง
เพื่อเป็นการเรียกสติของคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ให้กลับมา จึงขออัญเชิญพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานพรปีใหม่ 2551 มาให้ได้อ่านและน้อมรับใส่เกล้าฯแล้วนำไปสู่การปฏิบัติให้สมกับเป็นผู้ที่พร่ำพูดอยู่ตลอดเวลาว่าจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ดังนี้
"ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ ถึงสาระขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2551 ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คนและขอขอบใจท่านเป็นอย่างมากในน้ำใจไมตรีที่ทุกคน ทุกฝ่ายแสดงให้เห็นทั้งในคราวที่เจ็บป่วย และในการจัดงานวันครบวันเกิดครบ 80 ปี รวมทั้งได้แสดงความวิตกห่วงใยอย่างจริงใจในการเจ็บป่วยของพี่สาวข้าพเจ้า
สถานการณ์บ้านเมืองเราแต่ปีก่อนและต่อเนื่องมาถึงปีที่แล้วเป็นอย่างไร ก็เป็นที่ทราบกันอยู่แก่ใจ แต่อย่างไรก็ตาม เราได้มีรัฐธรรมนูญและได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นับว่าประเทศชาติของเราได้ผ่านหัวเลี้ยวสำคัญอีกขั้นหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันประคับประคองกิจการของบ้านเมืองให้ดำเนินไปด้วยดี ให้มีความเป็นปึกแผ่นและร่มเย็นเป็นปกติสุข ทางที่เราจะช่วยกันได้ ก็คือ การทำความคิดให้ถูกตรงและแน่วแน่ ในอันที่จะยึดถือชาติบ้านเมืองเป็นที่หมาย แต่ละคน แต่ละฝ่ายจะต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัว พยายามโอนอ่อนผ่อนปรนเข้าหากัน ด้วยไมตรีจิตและความเมตตากรุณา อย่าก่อปัญหาและก่อเงื่อนไขอันเป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบและความแตกแยก ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใดก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไปให้ทันการณ์ทันเวลา ผลงานของทุกคนทุกฝ่ายจักได้ประกอบส่งเสริมกัน ให้ประเทศชาติอันเป็นที่อยู่ที่อาศัยของเราดำรงมั่นคงอยู่ด้วยความผาสุก..."
หน้า 2
วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น