วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

วิธีทำใจ เมื่อ.."เบื่อการเมือง"

เวลานี้เชื่อว่าหลายคนกำลังอยู่ในอาการ "เบื่อการเมือง" ไม่อยากรับรู้หรือสนใจเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันการเมืองที่กำลังเป็นอยู่

บางคนบ่นว่าเปิดวิทยุคลื่นไหนก็มีแต่เรื่องการเมือง ขนาดเปิดคลื่นเอเอ็มกะว่าจะฟังเพลงลูกทุ่งเสียหน่อย- -ดีเจ กลับนำเอาข่าวการเมืองมาอ่านให้ฟังอีก หัวหมุนติ้ว..คลื่นเหียนเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม

ทั้งการชุมนุมประท้วงของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การประชุมรัฐสภาของบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ยุบสภา-หรือไม่ยุบ ชิงไหวชิงพริบ..ด่ากันทางอากาศ และอื่นๆ อีกมากมาย

ประชาชนส่วนหนึ่งจึงมองการเมืองแล้วรู้สึกไม่สบายใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้ รู้สึกไม่มีความหวัง และไม่มีทีท่าว่าเรื่องวุ่นๆ เหล่านี้จะยุติลงเมื่อใด นักการเมืองเดิมๆ หน้าเดิมๆ ยังคงกลับมามีบทบาทเวียนว่ายตายเกิดในวงจร

ท่ามกลางสถานการณ์อย่างนี้ เราคนไทยจะทำอย่างไร?

คำถามนี้หลายคนอยากรู้คำตอบ และก่อนที่จะเบื่อการเมืองมากขึ้นไปยิ่งกว่านี้ คำตอบจาก "พระพรหมคุณาภรณ์" (ป.อ.ปยุตฺโต) อาจจะพอเป็น

ทางออกและคำแนะนำสำหรับประชาชนคนไทยทั้งหลายที่กำลังเบื่อการเมืองใจจะขาดได้บ้าง

"พระพรหมคุณาภรณ์" หรือที่เราเรียกกันติดปาก "เจ้าคุณประยุทธ์" ท่านบอกเล่าถึงวิธีทำใจเมื่อกำลังเบื่อการเมืองไว้ในหนังสือชื่อ "เบื่อการเมือง" หนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ สามารถพกติดตัวไปไหนมาไหนอ่านได้ในทุกโอกาสสถานที่

ก่อนจะมาเป็นหนังสือเล่มนี้ มีว่าคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีความวิตกเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง ได้ไปปรึกษาพระเดชพระคุณเจ้าคุณประยุทธ์ ที่วัดญาณเวศกวัน อ.ศาลายา จ.นครปฐม ว่า ในสภาพบ้านเมืองอย่างนี้ควรทำใจอย่างไร ท่านเองมีเมตตาเทศนาธรรมชี้ทางสว่างให้ฟัง ซึ่งการสนทนาธรรมครั้งนั้นได้บันทึกเทปไว้ด้วย แล้วในที่สุดบทธรรมะดังกล่าวก็ออกมาเป็นหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ ที่ชื่อ "เบื่อการเมือง"

ในหนังสือเล่มนี้พระพรหมคุณาภรณ์ท่านบอกกล่าวถึงวิธีทำใจเมื่อเกิดอาการเบื่อการเมืองไว้หลายวิธีหลายอย่างด้วยกัน เพื่อให้คนอ่านได้เลือกใช้ว่าปัญหาและอารมณ์ของตนเองนั้นควรใช้ข้อใดในการแก้ไข

ขอยกตัวอย่างให้เห็นเป็นเรื่องๆ- - -
พระพรหมคุณาภรณ์




เรื่องแรกมีผู้ถามว่า เบื่อการเมืองหนักหนา อยากปิดหูปิดตาเสีย เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองปัจจุบันมีความน่ากลัว วิธีที่คนผู้นี้เลือกทำก็คือ ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่อยากเห็นหน้านักการเมืองบางคนที่มีประวัติไม่ดี จึงหนีไปอยู่พัทยา เพื่อจะได้พ้นๆ จากเรื่องราวเหล่านี้ เขาจึงอยากรู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตดี? และสถานการณ์อย่างนี้จะช่วยสังคมอย่างไร?

พระพรหมคุณาภรณ์ท่านเมื่อได้ฟังคำถาม ท่านกล่าวขึ้นว่า ต้องบอกก่อนว่าเรื่องการเมืองนี่พระไม่ยุ่งด้วย แต่พระต้องพูดเรื่องธรรมะสำหรับการเมือง คราวนี้ดูเหมือนจะเป็นการช่วยแก้ปัญหาของคนที่มีความทุกข์เพราะการเมือง

เจ้าคุณประยุทธ์เทศน์ต่อว่า ที่พูดมานั้นก็เป็นการแสดงความเบื่อหน่ายต่อนักการเมือง ก็เลยพลอยเบื่อการเมืองไปด้วย คลุมไปหมด ที่สำคัญการเมืองในที่นี้เป็นเรื่องของประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น ที่ว่าเบื่อการเมืองก็เหมือนกับบอกว่าเบื่อระอาประชาธิปไตยของบ้านเมืองนี้ ถึงขนาดปิดหูปิดตาไม่อยากได้ยิน เท่ากับตัดความมีส่วนร่วมทิ้งไปเลย

"ถ้าถึงขั้นนี้ ก็เห็นจะเตรียมชี้ชะตาประชาธิปไตยของเมืองไทยได้แล้ว" เสียงพระเดชพระคุณท่านว่า

เจ้าคุณประยุทธ์กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ต้องมองเป็นขั้นๆ ไป การจะไม่ยอมรับรู้ปิดหูปิดตาไปเลย ก็หนักไปหน่อย อาจถือว่าสุดโต่งไปข้างหนึ่ง แต่ถ้าเราจะติดตามเรื่องเอาจริงเอาจังจนกระทั่งเสียการเสียงาน ใจไม่อยู่กับงาน ก็สุดโต่งไปอีกข้างเหมือนกัน

"ฉะนั้น ต้องหาความพอดี สำหรับคนทั่วไป คือไม่ใช่คนที่มีหน้าที่หรือเอาใจใส่เรื่องนั้นโดยเฉพาะ แต่ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องสภาพแวดล้อมว่าข่าวการบ้านการเมืองที่เป็นอยู่มีอะไรเกิดขึ้น มีอะไรที่เป็นข้อมูลทั่วไปพอให้ทราบไว้เพื่อว่าเราจะอยู่ได้โดยมีความสบายใจ ปรับตัวได้ทันการณ์"

"ในฐานะชาวบ้านหรือคนทั่วไปที่อยู่ในสังคมนี้ เราควรรู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พรรคการเมืองต่างๆ แก่งแย่งคน ชิงดีชิงเด่น เราก็รู้ให้ทัน ฟังข่าวก็พอจับเรื่องได้ ไม่ต้องถึงกับติดตามเรื่องเอาจริงเอาจัง เพราะฉะนั้น ขั้นที่หนึ่งคือ ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ขั้นที่สองคือไม่ให้มันเป็นภาระแก่จิตใจที่จะต้องมาคิดวิตกกังวล"

เจ้าคุณประยุทธ์ได้รับคำถามสอดแทรกเพิ่มเติมว่า ถึงแม้จะฟังแค่พอรู้ แต่มันบั่นทอนจิตใจตลอดเวลา ท่านเจ้าคุณจึงกล่าวว่า เราต้องรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น เป็นไปในสังคมไทย เอาแค่พอรู้เรื่องเท่านั้น ปัญหาอยู่ที่การวางใจของเราต่างหาก สิ่งที่ผ่านไปผ่านมา หรือเราเดินทางผ่านไป เราจะปิดตาไม่มอง ปิดหูไม่ฟัง คงไม่ถูกต้อง เราควรรับฟัง ดู เห็น ไปตามที่มันเป็น แต่เราไม่เอาใจไปหมกมุ่นกับมัน ไม่ต้องไปรู้สึกอะไร

"รู้ นี่สำคัญมาก ถึงแม้ว่าเราจะไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เราก็ต้องรู้หรือควรจะรู้มัน เราเอาแต่ความรู้ ส่วนความรู้สึกเราไม่ยุ่ง ถ้าเกิดความรู้สึกขึ้นมา เราก็รู้ว่าเรามีความรู้สึกนั้น แค่นั้นพอ ไม่ต้องตามมันไป ปัญหาอยู่ที่ว่า บางทีเราไม่แยกระหว่างความรู้กับความรู้สึก พอรู้อะไร ความรู้สึกก็มาทันที เพราะว่าพอรู้ก็มีถูกใจหรือไม่ถูกใจ ชอบใจหรือไม่ชอบใจ นี่คือรู้สึกแล้วแทนที่จะอยู่กับความรู้หรือเก็บความรู้ต่อไป เลยไถลไปกับความรู้สึก นี่คือผิดทาง.."

"ในทางที่ถูก เมื่อรู้สึกไม่ชอบใจ ก็ให้รู้ตัวว่าเราไม่ชอบใจ แล้วก็จบ รู้ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย ถ้าไม่รู้เลยจะลำบากมาก พอเกิดอะไรขึ้นมาก็มองไม่ออกว่าสถานการณ์นี้มันมาอย่างไร จะไปอย่างไร เมื่อรู้แล้วต้องรู้ให้เท่าทัน ต้องแยกความรู้กับความรู้สึกให้ได้.."

คำแนะนำของท่านเจ้าคุณยังมีต่อไป จากคำถามที่ว่า "นักการเมืองบางคนพอเราเห็นหน้าเขาแล้วก็ไม่พอใจ เขาเป็นคนไม่ดี แต่ก็ยังอยู่ในแวดวงการเมือง ทำไมสังคมถึงยอมรับเขา จะทำอย่างไรดี?"

ท่านเจ้าคุณก็ว่า ต้องรู้ทัน แต่ไม่เอาตัวเข้าไปหมกมุ่น สำหรับเรารู้แค่ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น รู้ระดับนี้ก็พอแล้ว เมื่อเหตุการณ์เป็นไปอย่างไรเราก็พอ

มองออกเพราะมีข้อมูล แต่คนที่ไม่มีข้อมูล เวลาเกิดอะไรขึ้นจะมองไม่ออก ตั้งท่าทีไม่ถูก แล้วเรื่องบ้านเมืองนี่ต่อไปมันต้องมาเกี่ยวกับเราแน่นอน

"ที่ว่านักการเมืองไม่ดี ทำไมอยู่ในแวดวงการเมืองได้ดีและสังคมก็ยอมรับ นี่ก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าสังคมนี้ชอบนักการเมืองอย่างนั้น ปัญหาจึงไม่รู้แค่ที่ตัวนักการเมือง แต่อยู่ที่สังคมทั้งหมด คือคนทั่วไปมีคุณภาพแค่นั้น เพราะฉะนั้นจะแก้ปัญหาให้ได้ผลจริง ก็หนีไม่พ้นว่าต้องพัฒนาคุณภาพของประชาชน ดังนั้น คุณภาพของประชาธิปไตย จึงอยู่ที่คุณภาพของประชาชน.." เป็นคำตอบของท่านเจ้าคุณ

อีกคำถามหนึ่งที่ดูเหมือนแทงใจดำของคนดีทั่วประเทศ มีว่า "สถานการณ์บ้านเมืองทุกวันนี้ คนดีไม่อยากไปยุ่งเพราะรู้สึกต้านกระแสไม่ไหว คนมีประวัติด่างพร้อยเข้ามาเต็มไปหมด..?"

ท่านเจ้าคุณประยุทธ์ตอบคำถามนี้ว่า "เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่เป็นปัญหาระยะยาว คือไม่ใช่แค่ว่าคนดีท้อใจ แต่อีกชั้นหนึ่งซึ่งกว้างกว่าคือ เป็นเพราะสภาพสังคมมีค่านิยมที่เป็นปัญหาด้วย มันจึงไม่เอื้อ คือค่านิยมของสังคมไม่ได้เชิดชูคนดี เพราะฉะนั้น คนดีจึงไม่มีกำลัง ถ้าหากสังคมมีค่านิยมเชิดชูคนดี ยกย่องคนดี ก็จะยกคนดีให้มีกำลังเองไปสู้ได้ คนกลัวการเมืองแบบที่ว่าเลยไม่กล้าเข้าไป ถ้าอย่างนั้นเราอาจไปเดินทางด้านอื่น โดยคิดในระยะยาวว่าจะต้องทำอย่างไรในการที่จะแก้ปัญหานี้ แล้วอาจคิดได้วิธีการที่ออกมาในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปเข้าสนามเดียวกับเขา..ทางนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ได้ผล ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการไปใช้วิธีการแห่งปัญญา.."

ตัวอย่างคำถามที่ยกมาตอบคำถามในใจของใครหลายคน หากต้องการอ่านอย่างละเอียดจุใจ หนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ นี้จำหน่ายในราคาย่อมเยา เพราะสิ่งที่ต้องการไม่ใช่สตังค์ แต่ต้องการเผยแพร่ให้กว้างขวางออกไป

"เบื่อการเมือง" พิมพ์ที่สำนักพิมพ์วัลลดา จัดจำหน่ายโดยศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2255-4433 หรือ www.chulabook.com

สถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ นอกจากต้อง "รู้ให้เท่าทัน" อย่างท่านเจ้าคุณแนะแล้ว คำตบท้ายของท่านก็น่าคิดไม่น้อย- -

"สังคมไทยทุกวันนี้ไม่มีหลัก ถ้าสังคมไทยมีหลักแค่ 3 ข้อต้นของมงคลสูตร คือไม่คบคนพาล คบบัณฑิต บูชาคนที่ควรบูชา สังคมก็ไปรอดแล้ว แต่คนไทยในปัจจุบันแค่ 3 ข้อต้นของมงคลสูตร ก็ยังไม่ได้ จะไปรอดได้อย่างไร? นอกจากจะไม่ได้แล้วยังไปทางตรงกันข้าม สวนทางไปเสียอีก แล้วจะพ้นอัปมงคลได้อย่างไร...?" เป็นคำถามที่คนไทยทั้งหลายต้องหาคำตอบกันเอาเอง

ใครคือคนพาล ใครคือบัณฑิต และใครเป็นคนที่ควรบูชา